นายสันติ ปิยะทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “KC” ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบ เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ กลับเข้ามาซื้อขายหุ้นจึงได้วางกลยุทธ์ เพื่อแก้ไขและปรับปรุงจุดที่ยังไม่สมบูรณ์ให้ดียิ่งขึ้น โดยแบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ กลยุทธ์ด้าน Product ในปีนี้จะเพิ่ม Product line ใหม่ ในส่วนที่เป็นเชิงพาณิชย์ เพื่อเติมเต็มหมวดหมู่ของสินค้าให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และกลยุทธ์ด้าน Process จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ใน 2 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นถึงปัญหาของความล่าช้าที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำงานจากผลกระทบดังกล่าว และได้นำมาปรับปรุงเป็นกระบวนการ FAST process เพื่อทำให้การทำงานของเรารวดเร็ว และถูกต้องมากยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งกลยุทธ์ด้านต้นทุนเน้นในเรื่องของการควบคุมต้นทุนเชิงรุกได้แก่การทำVAVEการปรับปรุงDesignเพื่อให้งานก่อสร้างรวดเร็วขึ้นและต้นทุนลดลงรวมถึงการพยายามใช้วัสดุร่วมกันเพื่อให้เกิดEconomy of scaleให้ได้มากที่สุดและกลยุทธ์ด้านการตลาดมีการเพิ่มสัดส่วนการทำการตลาดOnlineมากขึ้นเพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและสุดท้ายกลยุทธ์ด้านธุรกิจใหม่ที่จะให้บริการด้านงานซ่อมแซมตกแต่งต่อเติมฯลฯคำพูดจาก ฟรี เกมสล็อตทดลองเล่น
นายสันติ กล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2565 บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 2-3 เท่า โดยขณะนี้ เค.ซี. มียอดขายรอรับรู้รายได้ใน 5 โครงการเดิม มูลค่า 106 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายคาดว่าจะเติบโตขึ้น 2-3 เท่า แต่เราจำเป็นต้องบริหารความสามารถในการโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้า เนื่องจากสถาบันการเงินยังคงมีความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อ เนื่องจากลูกค้าที่ซื้อโครงการของ เค.ซี. เป็นอาชีพอิสระทำให้ธนาคารไม่ปล่อยกู้ เราหาเครื่องมือทางการเงิน เริ่มจากให้ฝ่ายขายไปคุยกับลูกค้าก่อนล่วงหน้า 6 เดือน และตรวจประวัติลูกค้าอีก เพื่อป้องกันในการก่อหนี้เพิ่มขึ้น เป็นต้นคำพูดจาก ทดลองปั่นสล็อต
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของเค.ซี.จากนี้ได้วางเป้าออกเป็นแนวทางแรกการบริหารที่ดินสะสม(แลนด์แบงก์)ที่มีอยู่ในโครงการเดิมประมาณ4-5โครงการสามารถรองรับการพัฒนาโครงการได้ต่อเนื่องถึง3ปีจนปิดโครงการได้ซึ่งที่ดินแต่ละแปลงในแต่ละโครงการเป็นที่ดินต้นทุนเดิมที่สามารถสร้างโครงการในราคาที่ไม่สูงสามารถตอบสนองต่อความต้องการซื้อของลูกค้าได้ในราคาที่เข้าถึงได้
แนวทางที่สองเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตให้เค.ซี.กับการศึกษาโมเดลที่จะร่วมกับเจ้าของที่ดินในการร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในระดับพรีเมียมซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาอยู่3-4แปลงในการทำโครงการบ้านพรีเมียมในเมืองราคาขายมีตั้งแต่20-50ล้านบาทแต่ละโครงการจะมีมูลค่าเกินกว่า1,000ล้านบาทรวมมูลค่าโครงการประมาณ5,000-6,000ล้านบาทคาดว่าปลายปี65จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน1โครงการมูลค่าในการพัฒนาโครงการไม่น้อยกว่า1,000ล้านบาทหรืออีกรูปแบบอาจจะเป็นการออกหุ้นเพิ่มทุนแปลงที่ดินมาเป็นค่าหุ้นโดยเจ้าของที่ดินเข้ามาถือหุ้นซึ่งส่วนนี้ผู้ถือหุ้นเดิมยังคงสัดส่วนเท่าเดิมเป็นต้น