นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.ให้ความเห็นกรณี ที่นายพิธา ถูกร้องเรียนถือหุ้น ITV ระบุว่า แนวทางที่ กกต. จะมีการรับรอง การเป็น ส.ส. ไปก่อน แล้วจึงจะมีการพิจารณาปมถือหุ้น ถือเป็นแนวทางตามกฎหมาย ซึ่งตามหลักกระบวนการหากเป็นการร้องคุณสมบัติของผู้สมัครเป็น ส.ส. ก่อนการเลือกตั้ง ถ้าพบว่า มีคุณสมบัติที่ จะต้องดึงชื่อคนๆนั้น ออกจากการเป็นผู้สมัคร และต้องส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา
เลือกตั้ง2566 : "สนธิญา" จี้ กกต.เร่งรัด ปมหุ้นสื่อของ "พิธา"
เลือกตั้ง 2566 : “พิธา” มั่นใจ หุ้น ITV ไม่ซ้ำรอยหุ้น “ธนาธร”แน่นอน
เลือกตั้ง 2566 : “พิธา”แจงหุ้นสื่อเป็นกองมรดก-พร้อมชี้แจง ทำใจเรตติ้งแรงเลยโดนสกัด
แต่เมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้ว การจะเพิกถอนสิทธิ์ของผู้สมัคร กฎหมายเขียนเอาไว้ชัดเจน หากพบว่า ผู้สมัครขาดคุณสมบัติ หรือมีคุณลักษณะต้องห้าม จากการถูกร้องหรือ ถูก กกต.ตรวจสอบ กกต.ต้องมีมติและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อถอดถอนจากการเป็น ส.ส. แต่ไม่ได้หมายความว่า การสอบสวนจะต้องทำหลังการรับรอง แต่สามารถทำคู่ขนานกันไปได้ ก่อนการรับรอง และ เมื่อมีการรับรอง เป็น ส.ส. แล้ว ก็สามารถส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ทันที
นายสมชัย คาดว่า หลังการรับรอง เป็น ส.ส. อาจจะมีการวินิจฉัยปมถือหุ้นเกิดขึ้นภายในไม่กี่วันก็เป็นไปได้ เนื่องจากบุคคลที่ถูกร้อง จะมีสถานะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และต้องถูกส่งเข้าไปพิจารณา ในที่ประชุมรัฐสภา ศาลอาจจะเห็นว่าเป็นความจำเป็นเร่งด่วน ที่ต้องพิจารณาทันที
ซึ่งกระบวนการ ที่ กกต.ดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะช้า อาจเป็นจังหวะเดียวกัน โดยหลังรับรองการเป็น ส.ส. และก่อนการประชุมสภาครั้งที่ 1 เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี การพิจารณาอาจจะเกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวได้ แม้ในกฎหมายไม่มีกรอบระยะเวลากำหนด แต่ขณะนี้กกต. เริ่มพิจารณาเรื่องคุณสมบัติ ทำคู่ขนานไป คาดว่า กกต.จะพิจารณาได้เร็วพอสมควร อาจจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนถึง 1 เดือนครึ่ง ซึ่งจะมีการรับรอง เป็นส.ส.ในทันที หลังจากนั้นก็อาจจะมีการพิจารณาปมถือหุ้นทันที
ส่วนแนวทางในการจะพิจารณาเกิดขึ้นได้ 2 แนวทาง แนวทางแรก ดูจากเจตนาของกฎหมายที่ห้ามถือหุ้นสื่อเพื่อไม่ต้อง การให้นักการเมือง ใช้สื่อที่มีอยู่ในมือหาประโยชน์ในการเลือกตั้ง หากพิจารณาจากเจตนา เห็นว่า นายพิธาก็ไม่น่าจะผิด ส่วนอีกแนวทาง หาก กกต. พิจารณาตามกฎหมายอยากเคร่งครัด ตามตัวอักษร ว่า ผู้ถูกร้องถือหุ้นสื่อหรือไม่ ธุรกิจดังกล่าวยังเป็นสื่อหรือไม่ และยังประกอบกิจการอยู่หรือไม่ อันนี้ค่อนข้างน่าหนักใจ
ถ้าหากดูจากเจตนาของกฎหมายการถือหุ้นสื่อนั้นไม่ต้องการให้นักการเมืองใช้สื่อที่มีอยู่ในมือเพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้ง ถ้าดูเจตนาแต่ถ้าดูจากเจตนาคุณพิธาก็ไม่น่าจะผิด แต่ถ้าพิจารณาอย่างเคร่งครัดตามตัวอักษรถือหุ้นสื่อหรือไม่ธุรกิจดังกล่าวไปซื้อหรือไม่อยากประกอบกิจการหรือไม่อันนี้ก็ค่อนข้างจะหนักใจ
ส่วนจำนวนหุ้นที่ถือจะมากหรือน้อยจะมีผลกับการพิจารณาหรือไม่ นายสมชัยระบุว่า ก็ขึ้นอยู่กับการตีความกฎหมายในแง่ใด หากพิจารณาจากเจตนา จำนวนหุ้นที่ถือก็ไม่ได้มากพอที่จะไปมีอิทธิพลหรือครอบงำ เพื่อใช้สื่อในการหาเสียง ซึ่งกรณีของ นายพิธา ถือว่า ยังมีความสุ่มเสี่ยงสูง อย่าวางใจ เรื่องนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต คนที่เตรียมตัวเข้าสู่การเมือง ต้องเตรียมความพร้อมในทุกเรื่องให้เรียบร้อย อย่าปล่อยให้มีช่องว่าง ทำให้อีกฝ่ายไปร้อง
นายสมชัย ระบุด้วยว่า การพิจารณาเรื่องนี้ไม่ซับซ้อน เมื่อเปรียบเทียบกับกรณี การซื้อเสียงเลือกตั้ง หรือการทุจริตการเลือกตั้ง จะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่า จะต้องมีพยานบุคคล มีพยานวัตถุ มีการให้ปาก แต่กรณีการพิจารณาเรื่องการ ถือหุ้น เป็นเพียงแค่การนำหลักฐาน เอกสารมาพิจารณา ว่าถือหุ้นจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า กกต. จะมีมุมมองในการพิจารณาอย่างไรคำพูดจาก เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด